วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องของพญานาค



หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พบพญานาคแม่น้ำโขง
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยะเจ้าอีกรูปหนึ่งที่เป็นที่เคารพบูชาของพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านได้ผ่านพบประสบการณ์อันอัศจรรย์มากมาย ระหว่างธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เพื่อพากเพียรบำเพ็ญธรรม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรมสายปฏิบัติแห่งภาคอีสาน หลวงปู่ชอบเคยได้ร่วมธุดงค์ไปกับท่านพระอาจารย์มั่นหลายวาระ มีอยู่ครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ชอบได้ร่วมธุดงค์ไปกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และท่านได้รับรู้เรื่องพญานาค และท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า...
“เราตามท่านพระอาจารย์มั่นไปปักกลดอยู่ริมบึงน้ำใหญ่แห่งหนึ่งในเขตป่าดงดิบ เราเดินสำรวจดูรอบๆปากบึง เราพบความผิดปรกติอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพราะปรกติแล้วน้ำในบึงย่อมเป็นที่พึ่งพาของสัตว์ป่าทั้งหลาย และเมื่อมีสัตว์ป่ามากินน้ำในบึงแล้ว จะต้องทิ้งรอยเท้าไว้ที่ขอบบึง แต่ไยเล่าจึงไม่ปรากฏรอยเท้าสัตว์อยู่แม้แต่รอยเดียว เรากำหนดจิตตามที่ท่านพระอาจารย์สอนไว้ จิตเรากระทบกับสิ่งหนึ่งทันที พญานาคผู้ยิ่งใหญ่แต่ไร้คุณธรรมได้พ่นพิษอันร้ายกาจไว้ในบึง ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์น้อยใหญ่หากได้กินน้ำแล้ว ย่อมถึงแก่สิ้นชีวิตด้วยพิษอันร้ายแรงนั้นในไม่ช้า เราจึงบอกกับพวกพ้อง ที่เดินมาด้วยกันกับท่านพระอาจารย์มั่นให้งดใช้น้ำในบึงนั้น เราเข้าไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นโดยตรง ท่านใช้พลังจิตสำรวจดูจึงกล่าวกับเราว่า “เธอกล่าวถูกแล้ว” ขอให้งดใช้น้ำ เราจะติดต่อกับพญานาคนั้นเอง คราวนั้นเรากับพวกพ้องต้องเดินไปแสวงหาน้ำจากแหล่งอื่นเป็นเวลาหลายวัน อยู่มาวันหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่นเรียกเราเข้าไปบอกว่า “เธอไปบอกพวกพ้องว่าดื่มน้ำและใช้น้ำในบึงนี้ได้แล้ว” น้ำในบึงปราศจากพิษแล้ว พวกเราจึงใช้น้ำได้อย่างสะดวก เราทราบในภายหลังว่าท่านพระอาจารย์ได้ทรมานพญานาคนั้นจนหมดทิฐิ แล้วถามว่า “ท่านไยจึงพ่นพิษลงมาหมายสังหารพระสงฆ์ผู้ทรงศีล มิรู้หรือว่าเป็นอนันตริกรรม ถึงลงสู่อเวจีมหานรก ท่านจงรีบไปถอนพิษออกเสียเถิด” พญานาคราชจึงไปถอนพิษออกจากบึงจนหมด ท่านพระอาจารย์มั่นจึงบอกให้พวกเราใช้น้ำได้ เราได้ทราบต่อมาอีกว่า หลังจากนั้นพญานาคก็ชวนพวกพ้องมาฟังธรรม มาให้การอารักขาเรากับพรรคพวกและท่านพระอาจารย์ จนได้เวลาอันสมควรจึงถอนกลดออกเดินทางต่อไป”
นี่คือประสบการณ์ข้องเกี่ยวกับพญานาคของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านกล่าวว่าผู้ที่จะผ่านมิติอันเร้นลับถึงขั้นพบเห็นหรือสนทนากับพญานาคได้นั้น จะต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์และบำเพ็ญเพียรธรรมจนได้ญาณวิสุทธิ์เท่านั้น เรื่องของพญานาคนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ผู้ที่ไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎกมาก่อน และปฏิบัติธรรมถึงขั้นได้อภิญญาญาณย่อมไม่มีความเชื่อเรื่องพญานาค คิดว่าเป็นนิทานชาดกซึ่งเล่าขานเอาไว้อย่างเลื่อนลอย ทั้งๆที่พญานาคมีจริงๆ แม้ในปัจจุบันก็มีอยู่
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็นพญานาคอีกครั้ง เมื่อคราวที่ท่านนำหมู่คณะสงฆ์ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว แล้วไปปักกลดใกล้หมู่บ้านชาวลาวแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขง หลังจากท่านฉันภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านนำบาตรของท่านไปล้าง โดยเทเศษอาหาร มีข้าวสุกและน้ำแกงน้ำพริกปลาร้า ลงไปในน้ำ เหตุการณ์ตอนนี้หลวงปู่ชอบเล่าว่า...
“เราได้ยินเสียงตลิ่งพังดังครืนๆ และบรรดาชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทางที่เรานั่งอยู่ ท่าทางดูเขาตกใจมากเขาบอกกับเราว่า เมื่อกี้ได้นำบาตรไปล้างในแม่น้ำโขง พอเทน้ำล้างก้นบาตรลงไปก็เกิดเหตุอัศจรรย์ น้ำในแม่น้ำที่ใสแจ๋วกลับขุ่นคลั่กในพริบตา เหมือนมีอะไรลงไปกวนน้ำในกลางน้ำวน (วังน้ำหันตาไก่) วนเป็นน้ำวนอย่างรุนแรง แรงหมุนของน้ำถล่มเข้าสู่ตลิ่งที่พวกเขาล้างบาตรอยู่ พังออกเป็นกระบิๆ พวกที่อยู่ริมตลิ่งต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะหากตกลงไปในน้ำแล้วต้องถูกแรงน้ำวนดูดจมลงไปในวังน้ำแน่ๆ ตอนที่เขามาหาเราเสียงตลิ่งพังดังครืนๆไม่ขาด เรากำหนดจิตไปดู เราจึงมองเห็นพญานาคในลำน้ำโขง มีความแค้นเคืองคนเหล่านั้น ที่เอาน้ำพริกน้ำปลาร้าไปถูกตัวเขาซึ่งอยู่แถบนั้นพอดี เราจึงห้ามเทเศษข้าวและนำพริกปลาร้าลงไปน้ำอีกเป็นเด็ดขาด เรื่องก็น่าจะจบแค่นั้น แต่ก็มีพระที่ไปกับเราถือดี คิดว่าที่เราพูดเป็นเรื่องเล่น หลังจากวันนั้นก็มีผู้นำบาตรไปล้างในแม่น้ำและเทน้ำล้างลงไปอีก ก็เกิดอาเพศน้ำหมุนตลิ่งพังต้องวิ่งหนีเอาชีวิตกันแทบไม่รอด ทุกคนจึงยอมฟังไม่กล้าทำในสิ่งที่เราห้ามอีก”
“เมื่อเราไปจำพรรษาในถ้ำไม่ห่างจากแม่น้ำโขงมากนัก พญานาคราชได้นมัสการเราเพื่อคารวะ ที่เราห้ามมนุษย์ไม่ให้ทิ้งเศษอาหารและของสกปรกลงไป ส่วนหัวของเขามานอบน้อมคารวะเราที่ปากถ้ำ ส่วนหางยังอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโขงห่างกันเป็นกิโลเมตร เราพบว่าเขาสร้างกรรมไว้โดยไม่ตั้งใจ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมานพผู้มั่นในศีล 5 แต่วันหนึ่งถือวิสาสะว่าคุ้นเคยได้ถือเอามีดของพระสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว เมื่อดับชีวิตแล้วจึงมาเป็นพญานาคราช แม้แสดงฤทธิ์ได้แต่ก็อับวาสนา ไม่ได้เป็นคน เราให้ศีล 5 เขายึดถือ เพื่อเจริญภาวนาและยึดในไตรสรณคมน์ต่อไป”
พญานาคกับหลวงปู่ชอบ ดูเหมือนจะมีความผูกพันกันเป็นพิเศษ แม้แต่ท่านอยู่ในวัด พญานาคก็ยังมาปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ดั่งที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังดังนี้....
“เราอยู่วัดห้วยน้ำริน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ระยะหนึ่งเราสังเกตพบว่า ในบรรดาทายกทายิกาที่นำภัตตาหารมาถวายพระและฟังธรรมนั้น มีชายคนหนึ่งแม้แต่งกายพื้นเมืองธรรมดากว่าคนอื่น แต่ก็มีท่วงท่าสง่างามกว่าผู้คนที่มาทำบุญด้วยกันอย่างเห็นได้ชัด กิริยาอาการสำรวมกว่าคนธรรมดา อาหารที่เขานำมาถวายทุกครั้งนั้นเป็นอาหารพื้นเมืองธรรมดา แต่เมื่อได้ฉันแล้ว กลับมีรสโอชากว่าอาหารของคนอื่น แต่เราไม่อาจปลงใจได้ว่าเป็นของชายคนนั้น เพราะเราฉันรวมกันในบาตรด้วยการเคล้า เรามักจะอาศัยเวลาว่างจากการแสดงธรรมสอบถามชาวบ้านเสมอว่า เขานั้นเป็นใครมาจากไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร จะได้รู้จักและสอนธรรมะได้อย่างสะดวกใจ และเราได้ถามถึงชายคนที่นำดอกไม้และภัตตาหารมาถวาย ทุกคนที่เราถามรู้ว่าหมายถึงใคร แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะต่างคนต่างคิดว่าเป็นญาติของอีกคนหนึ่งต่อๆกันไป วันสุดท้ายที่เราพบชายผู้นั้นเขานำดอกไม้และภัตตาหารมาถวายเหมือนเคย ครั้นเราถามว่าบ้านโยมอยู่ที่ไหน ถามไถ่ผู้คนก็ไม่รู้จัก เขาก็อมยิ้มก่อนตอบว่าอยู่แถวนี้เองแหละพระคุณเจ้า กล่าวตอบเราแล้วก็ถอยฉากไปนั่งรอถวายภัตตาหาร หลังจากที่ได้ถวายภัตตาหารแล้วธรรมเนียมของคนบ้านนั้น จะตักอาหารที่เหลือจากการถวายพระแจกกันไปทั่วๆ จากนั้นก็นั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ แต่ชายผู้นั้นกับนั่งกินคนเดียวไม่รวมกลุ่มกับคนอื่น เราจึงคอยดูเวลากลับ เขาก็เดินแบกถาดอาหารไปตรงสระน้ำหน้าวัด พอเห็นไม่มีใครสังเกตก็หายวับไปในสระนั้นเอง”
ในวันหนึ่งเราได้พบกับเขาตามลำพังเราได้สนทนากับเขาถึงเรื่องที่เราอยากรู้
“ท่านต้องการอะไรหรือ จึงขึ้นมาพบพระป่าอย่างเรา”
“พระคุณเจ้ากระผมคือ นาคมานพ วิสัยพญานาคนั้นเคารพในผู้ทรงศีล ผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชนปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา พญานาคก็ต้องการบำเพ็ญทานภาวนาและศีลด้วยเช่นกัน ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพญานาค ชื่อพระภูมริทัตต์ ก็บำเพ็ญทานภาวนาจนตัวตายเหมือนกัน”
“ศีลของพระคุณเจ้าหอมเหลือเกิน หอมไปไกล พวกกระผมจึงขึ้นมาบำเพ็ญทานถวายพระคุณเจ้า เพื่อเพิ่มพูนบารมีของตนสืบไป”
“เราขอถามท่านว่าเราเคยพบพวกท่านเนรมิตในรูปต่างๆมามาก เราต้องการทราบว่าท่านทำกันอย่างไร”
“ขอให้พระคุณเจ้าได้โปรดทัศนาด้วยตาของท่านเอง”
“เขากล่าวกับเราว่าเป็นนิมิตภาพเท่านั้น ผู้บารมีธรรมจึงได้เห็น ร่างของเขาหายวับไปแล้วปรากฏเป็นมานพหนุ่มรูปงามเดินเข้ามา แล้วหายวับไปเป็นคนแก่งกๆเงิ่นๆ เดินเข้ามาแล้วกลายเป็นสตรีรูปงาม กลายเป็นนายพรานขมังธนูดูโหด เขาบอกกับเราว่าการเนรมิตคือการคิด แล้วร่างก็เปลี่ยนไปอย่างต้องการ จะให้เป็นมนุษย์ครั้งละหลายๆคนก็ได้ เป็นสัตว์ป่าหลายๆตัวก็ได้ เป็นสัตว์ 2 อย่างพร้อมๆกันก็ได้ ศิษย์ที่ฟังท่านเล่าจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า เมื่อเนรมิตเป็นอะไรก็ได้แล้วรูปร่างจริงเป็นอย่างไร หลวงปู่ก็ตอบว่า เราเคยเห็นอยู่เหมือนกันในภาพผนังโบสถ์นั้นแหละ มี 3 หงอนบ้าง 4 หงอนบ้าง 7 หงอนบ้าง มาด้วยกันทั้งตัวผู้และตัวเมียก็เคยเห็น หงอนสีแดงมีแพรคอเหมือนม้า ลำตัวใหญ่ยาวเกล็ดสีดำเป็นมันเลื่อม บางครั้งเขาก็มาเป็นมนุษย์ทรงเครื่องแบบกษัตริย์สง่างามมาก มีข้าราชบริพารแห่แหนมาดังขบวนยุรยาตรพระราชา เราพบมาหลายแบบงูตัวเล็กๆก็มี ผ้าขาว ผู้หญิง เสือ มนุษย์ กษัตริย์ และอีกหลายอย่างสารพัดสารเพ ดังนั้นพญานาคจึงมีฤทธิ์ในด้านการแปลงกายเป็นพิเศษ”
อีกครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ชอบกำลังเดินธุดงค์อยู่ฝั่งไทยเลาะเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำโขง ท่านอยากจะข้ามไปวิเวกฝั่งลาว แต่บริเวณนั้นไม่มีผู้คนและเรือแพ ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานขอให้เกิดนิมิตว่าจะข้ามไปฝั่งลาวดีหรือไม่ ซึ่งท่านได้เล่าไว้ดังนี้...
“เราคิดในใจว่าเราจะข้ามไปฝั่งลาวดีหรือไม่ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งออกธุดงค์ ในตอนต้นพรรษากาล ในคืนนั้นเราปักกลดอยู่ริมฝั่งน้ำเหียง เราเจริญภาวนา และในนิมิตนั้นเอง ร่างของมานพหนุ่มก็ปรากฏขึ้น เขาเดินเข้ามากราบเราด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เขากล่าวกับเราในนิมิตว่า ได้ทราบว่าพระคุณเจ้าจะข้ามไปแสวงวิเวกในฝั่งลาว ปวงข้ารู้สึกปีติเป็นอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอนิมนต์พระคุณเจ้า ข้ามไปฝั่งโน้นเพื่อโปรดสัตว์ผู้ยากให้พ้นจากความหลงผิดด้วยเถิด เราน้อมรับในนิมิตด้วยความดุษฎีเขาจึงลาจากไป รุ่งเช้าเราเสร็จภัตตกิจแล้ว จึงรวบรวมบริขารออกเดินทางมายังฝั่งน้ำเหียงที่ใกล้กับแม่น้ำโขง เราทอดสายตาออกไปลำน้ำเหียง ทุกอย่างเงียบสงบ สายลมพัดพลิ้วผ่านผิวน้ำ ทันใดนั้นก็ปรากฏว่ามีเรือลำน้อยลำหนึ่งพุ่งตรงมาฝั่งที่เรายืนอยู่ คนพายวาดหัวเรือเข้ามาอย่างจงใจ พอหัวเรือชนริมตลิ่ง คนในเรือก็ร้องว่า “นิมนต์บนเรือเถิดพระคุณเจ้า” หลวงปู่จึงถามว่าจะไปทางไหนกันเล่าโยม ชายหนุ่มเจ้าของเรือตอบว่าจะไปฝั่งลาว ยินดีรับท่านไปฝั่งโน้น หลวงปู่จึงลงเรือลำนั้น”
ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ดังนี้...
“คนเรือมีใบหน้ายิ้มแย้มละไม และกิริยานอบน้อมต่อเราเป็นพิเศษ เรือลำนั้นพุ่งตรงออกจากฝั่งตัดลำน้ำเหียงเข้าสู่ลำโขง ตรงดิ่งไปยังประเทศลาว เรือจอดสนิท เราประคองบาตรและบริขารเดินขึ้นไปบนฝั่ง ครั้งถึงฝั่งเรียบร้อยแล้วหันกลับมา จะให้พรโยมเจ้าของเรือ ก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีเรือ ไม่มีอะไรเลย นอกจากความเวิ้งว้างและความสงบเงียบของน้ำ แต่ในกลางแม่น้ำโขงนั้นเองปรากฏร่างจระเข้ตัวใหญ่ ลอยฟ่องอยู่กลางแม่น้ำโขงหันหัวมาดูเราตาแจ๋ว เราจึงกำหนดจิตลงไปยังจระเข้ตัวนั้น จึงพลันได้รู้ว่า นั่นคือนาคราชแปลงเป็นคนและเรือมารับเราสู่ฝั่งลาว เมื่อส่งถึงฝั่งก็กลายเป็นจระเข้ให้รู้เป็นนัยๆ เราจึงทดลองเดินขึ้นจากฝั่งไปจนไกลพอสมควร จึงหันมามองก็เห็นจระเข้ตัวนั้นมองดูเราอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ เราจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาไปให้เขาแล้วกล่าวว่า “เอาละ เราขอบใจท่านที่ช่วยเป็นภาระให้เราข้ามมาฝั่งนี้ได้ เราเดินทางต่อไปได้เองแล้ว ท่านจงอย่าเป็นห่วงเราเลย” สิ้นคำกล่าวจระเข้ก็ชูหัวขึ้น 3 ครั้งแล้วหมุนตัวกลับหายไปในแม่น้ำโขงในพริบตา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพญานาค เป็นพุทธมามกะตั้งแต่สมัยพุทธกาล และยังดำรงความเป็นพุทธมามกะนั้นมาจนถึงทุกวันนี้”
คราวหนึ่ง...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ธุดงค์ไปกับพระอาจารย์เหรียญ บนดอยสูงทางภาคเหนือ หลวงพ่อก็พบกับพญานาคอีก ดังเรื่องราวต่อไปนี้...
“เราปักกลดอยู่ที่เนินเขา แต่ขึ้นไปบิณฑบาตบนดอยของพวกแม้ว แม้วเพิ่งรู้จักพระ วันแรกใส่ข้าวเปล่า วันที่สองเอาหมูสดๆ ที่ลวกน้ำเกลือกันเน่ามาใส่ เราต้องให้โยมที่ติดตามไปด้วยรับไว้แทน ไม่ให้ใส่ในบาตร เดือดร้อนโยมเมื่อกลับถึงที่ก็ต้องไปทำสุกมาถวาย วันต่อมาโยมที่ไปด้วยกันบอกกับพวกแม้วว่าพระต้องฉันอาหารสุก จึงได้อาหารสุกตามต้องการ เราได้ขึ้นไปแสวงหาวิเวกบนดอยโดยมีโยมช่วยกันสร้างที่พัก เราจึงได้แสวงวิเวกและบำเพ็ญเพียรอยู่บนนั้น คืนหนึ่งเรากำลังเดินจงกรม พลันก็เกิดแสงสว่างประหลาดพุ่งไปสู่เส้นทางที่เดินจงกรม และที่ปลายแสงนั้นพญานาคในรูปกายจริงก็ชำแรกดินขึ้นมาทันที เรากำหนดจิตถามเขาว่า “มาจากไหนหรือท่านนาคราช” เขาก็ตอบมาว่า “ข้าพเจ้าอยู่ตีนเขาลูกนี้ ในเขาลูกนี้มีลำธารลอดอยู่ภายใน ไหลผ่านลงไปที่เชิงเขาแล้วลงสู่ไร่นาชาวบ้าน ที่พระคุณเจ้าธุดงค์ผ่านมาคงจำได้นะ นั้นแหละขอรับเส้นทางเดินของข้าพเจ้า” หลังจากได้สนทนากับเราพอสมควรแล้ว เขาก็ชำแรกดินขึ้นมาทั้งตัวให้เห็นเป็นร่างอันแท้จริง หงอนสีแดงฉาน แผงที่คอเหมือนแผงคอม้า ลำตัวมีเกล็ดสีดำมะเมื่อม ส่วนหัวอยู่เบื้องหน้าเรา แต่ส่วนหางยาวไปจรดเขาอีกลูกหนึ่ง ศิษย์ถามว่าพญานาคมาหาหลวงปู่ด้วยเหตุใด หลวงปู่ตอบว่า “เขาบอกเราว่า ข้าพเจ้ามีความเย็นกายเย็นใจที่มีพระกัมมัฏฐานที่ประเสริฐเยี่ยงท่าน มาภาวนาแผ่ความสุขความเมตตาให้แก่สัตว์โลก เสียงที่ท่านสวดมนต์และแผ่เมตตาทำให้เย็นอกเย็นใจมีแต่ความสุข สุดจะทนอยู่ได้จึงขอขึ้นมาชมบารมี เพราะสมเด็จพระบรมศาสดาทรงมรพุทธดำรัสว่า การเห็นสมณะเป็นอุดมมงคลอันสูงสุด”
จบเรื่องหลวงปู่ชอบ เพียงเท่านี้
คัดลอกมาจากหนังสือ พระอริยสงฆ์เผชิญพญานาค





























































0 ความคิดเห็น: